4/29/2552

Review Eye Liner ของ IN2IT

หัวข้อก่อนหน้านั้นเราเคยพูดถึงเรื่องของ Eye Liner ว่ามีกี่แบบกันไปแล้ว ที่นี้ก็มาถึงการเลือกหาเอา Eye Liner มาใช้กันมั่งดีกว่าจ้าจากความพยายามอยากลองใช้ Eye Liner ดูมั่ง ก็พยายามเสาะแสวงหาว่ายี่ห้อไหนดีน๊าาา.... ก็เลยได้คำแนะนำจากเพื่อนๆ ที่รู้จักว่าลองไปเอาของ IN2IT มาใช้ซิ เนื่องจากเนื้อครีมไม่เลอะเป็นแพนด้า และมีราคาไม่แพงด้วย โอ้วววว พอพูดถึงราคาที่แสนจะถูก เราก็เลยรีบไปหามาใช้กันเลย

เนื่องจากตอนแรก มักจะได้ยินเสมอๆว่าถ้าจะลองเขียนขอบตาให้ซื้อแบบดินสอมาลอง ก็เลยไปซื้อของ Mistine Pro+Long Mascara ที่เป็นแบบดินสอมาลองใช้ ผลปรากฏว่า ห่วยมากๆๆๆ ขอบอก คือดินสอที่เขียนๆ อยู่เด้งหลุดออกมาจากด้ามข้างใน (เวงแระ!!) อันนี้ยังพอทน หลังจากพยายามเขียนตา แบบมือสมัครเล่นอยู่นาน สองนานในที่สุดก็สำเร็จ เย้ๆๆ เขียนขอบตาได้แล้ว เสร็จก็ไปเดินโฉบที่ Central ลาดพร้าว ยังไม่ถึงไหนเลย เพื่อนบอกว่า "แกตาแกเลอะ เป็นหมีแพนด้าเลย" เท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่ามิสทีนแบบดินสอ ไม่เหมาะกับเราแล้ว
ซื้อมาทดลองใช้ 2 รุ่นของ IN2IT

1. IN2IT Liquid Eye Liner Proof
ปลายพู่กัน
ราคา 165 บาท
ซื้อที่ Watson




2. IN2IT Extra Lasting Liquid Eye Liner
แบบแมจิก (เหมือนปากกาแมจิก)อันนี้เพิ่งออกมาใหม่
ราคา 275 บาท
ซื้อที่ Watson




ฟิตสมอง ก่อนจะสาย

การขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย การสูบบุหรี่ การรับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม และการรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก ก็ล้วนเร่งให้เกิดความเสื่อมของการทำงานในร่างกาย จิตใจ รวมถึงสมองให้เร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิต ได้อธิบายว่า ความเครียด และวิตกกังวลของคนเรานั้น จะยิ่งทำให้ความดันโลหิต การขยายตัวของหลอดเลือด และหัวใจทำงานผิดปกติ และเมื่อกลไกในร่างกายเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก็จะส่งผลต่อการทำงานของสมองด้วย “อาการความเสื่อมถอยของสมองยังเกิดได้จากอีกหลายสาเหตุ นอกจากการดำเนินชีวิตแบบผิดๆ ที่กล่าวมา การใช้สารเสพติดประเภทกาว หรือ การดื่มแอลกอฮอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ การขาดฮอร์โมนบางตัว เช่น ไทรอยด์ รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ซ้ำซากจำเจ หรือทำงานที่ไม่ค่อยได้ใช้ความคิด และไม่มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็ทำให้มีโอกาสสมองเสื่อมได้ค่ะ"

ดูแลสมองก่อนสายวิธีการฟิตสมองแบบใหม่ๆ ที่ง่าย และทำได้เอง 3 วิธี

1. นิวโรบิคส์ (Neurobics Exercise) :
ออกกำลังสมอง นิวโรบิคส์ เอ็กเซอร์ไซส์ หรือการออกกำลังสมอง เปรียบเทียบได้กับการออกกำลังของร่างกาย ที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ดังนั้น การออกกำลังสมองจึงเป็นการฝึกให้สมองส่วนต่างๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อเราฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ (Neurotrophins) ที่เปรียบเหมือน “อาหารสมอง” ที่ทำให้เซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ “เดนไดรท์” (Dendrites) ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้ทำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัย (Factor) ที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโต และเซลล์สมองแข็งแรง


เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง ก็จะทำให้เกิด “พุทธิปัญญา” (Cognitive Function) ที่หมายถึงความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออก รวมไปถึง “การทำงานของสมองระดับสูง” (Executive Function) คือ การคิด แก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้นทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม

นิวโรบิคส์ ทำงานอย่างไร

สำหรับหลักการของ การออกกำลังสมอง เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (Sensory Organs) อันได้แก่ การได้ยิน การมองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึง ส่วนสำคัญส่วนที่ 6 คือ ส่วนของ “อารมณ์” (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม

“ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยชินกับการใช้มือขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดหยิบจับทุกอย่าง ก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายทำแทน เนื่องจากพฤติกรรม และการรับรู้ต่างๆ เกิดจากการทำงานประสานกันระหว่างสมองส่วนซ้ายและขวา ถ้าเราใช้แต่มือข้างขวาทำทุกอย่าง สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการกระตุ้นด้านเดียว แต่สมองส่วนขวา ซึ่งบังคับมือซ้ายก็จะไม่ค่อยได้ทำงานและอาจจะเสื่อมไป ดังนั้น เมื่อเราฝึกทำกิจกรรมต่างๆ จากมือซ้าย ก็ช่วยให้สมองส่วนขวาได้รับการกระตุ้น และทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย”


กิจกรรมที่ช่วยออกกำลังสมองนั้นจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษคือ ต้องเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสอย่างน้อย 1 อย่าง รวมทั้งต้องดึงดูดความสนใจให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ และเป็นการเปลี่ยนกิจวัตรธรรมดาให้กลายเป็นกิจกรรมที่คาดไม่ถึง หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามประการนี้


2. การบริหารสมอง (Memory Training)
สำหรับวิธีการบริหารสมองสามารถช่วยในเรื่องการฝึกการทักษะการคิด ประมวลผล และการเชื่อมโยงการทำงานของร่างกาย การมองเห็น และประสาทสัมผัสต่างๆ โดยใช้ใช้เกม หรือกิจกรรมต่างๆ มาเป็นตัวช่วย ซึ่งถือเป็นการฝึกสมองที่ดีอีกวิธีหนึ่ง แบ่งเป็นวิธีการง่ายๆ ได้ดังนี้

การเล่นเกมฝึกสมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คำถามอะไรเอ่ย ปริศนาอักษรไขว้ เกมเรียงคำในภาษาอังกฤษ (Cross Word) เล่นไพ่ หรือ ซุโดกุ (Sudoku) ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้



ทำกิจกรรมส่งเสริมความคิดต่างๆ เช่น การเขียนจดหมาย การเรียนพิมพ์ดีดแบบสัมผัส การเรียนภาษาใหม่ ฟังเพลงแนวใหม่ ดูภาพยนตร์ หรือสารคดีที่ไม่เคยดู กิจกรรมเหล่านี้ก็จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองได้เช่นเดียวกัน แต่เริ่มจากความสนใจ และความชอบเป็นอันดับแรก

3. ดนตรีบำบัด
“การใช้ดนตรีบำบัดแบบที่ทำอยู่นี้ ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactive) อายุระหว่าง 30-50 ปี หลักการคือ เมื่อปลายนิ้วมือทั้งสิบของคนเรามีเส้นประสาทอยู่จำนวนมหาศาล สังเกตง่ายๆ จากเมื่อเราเล่นเปียโนครั้งแรกจะไม่ได้ยินเสียงเปียโนเลย เพราะประสาทนิ้วกำลังทำงานอยู่ ดังนั้น เมื่อเราให้ผู้ป่วยฝึกเปียโนไปนานๆ ก็จะทำให้ระบบประสาททำงานประสานกัน และส่งผลต่อการทำงานของสมองด้วย เห็นได้จากผู้ป่วยที่เคยอยู่ไม่นิ่ง แยกตัว และไม่ยอมเข้าสังคม หลังจากฝึกไปแล้ว เขาจะนิ่งขึ้น และเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ที่สำคัญคือไม่เครียด ทุกวันนี้เราเลยประยุกต์เทคนิคนี้มาใช้กับพนักงานโรงพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยครับ”



สารพัดวิธีเสริมความแข็งแรงให้สมอง

อาหารดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง อันได้แก่ ผัก ผลไม้ และธัญพืช มะเขือเทศ แคนตาลูป ผักใบเขียว ต่างๆ ที่มีสารแอนติออกซิแดนซ์ (Antioxidant) กับวิตามินบี และอี ที่จำเป็นต่อสมอง นอกจากนี้ต้อง หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำร้ายสมอง ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทที่ไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบตันส่งผลให้สมองเสื่อม

ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหวานจัด มีน้ำตาลสูง เพราะระดับน้ำตาลที่ปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอ จะทำให้เซลล์สมองในส่วนของ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งไวต่อการปรับระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานเสื่อมลงได้

การออกกำลังร่างกายจำเป็นเสมอ นอกจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ยังช่วยให้ กระบวนการเผาผลาญพลังงาน (Metabolism) ทำงานเป็นปกติ ป้องกันปัจจัยเสี่ยง และโอกาสที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมให้น้อยลงแล้ว การเล่นกีฬาบางประเภท ก็ช่วยกระตุ้นสมองได้ โดยยึดหลักเดียวกับ นิวโรบิคส์ นั่นคือ การประสานการทำงานของประสาทสัมผัสเข้าด้วยกัน เช่น การเล่นปิงปอง ที่กระตุ้นให้ประสาทสัมผัส (มือ) การมองเห็น (ตา) ทำงานประสานกัน รวมทั้งใช้สมองในการกะระยะด้วย



พักผ่อนให้เพียงพอเรื่องการพักผ่อนมองข้ามไม่ได้ เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล เกิดเป็นความเครียด ซึ่งจะทำให้เกิดความจำไม่ดี และการฝ่อของสมอง (Neural Degeneration) ได้ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ทราบความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น และรักษาได้ทันเวลา เพราะป้องกันสำคัญกว่าแก้ไข

4/26/2552

หยุดสัญญาณความร่วงโรย

นี่คือวิธีดี ๆ ที่จะทำให้คุณดูอ่อนเยาว์ไปได้อย่างยาวนาน มีวิธีปฏิบัติเพื่อร่างกายของเราดังต่อไปนี้ จ้า รู้ไว้ไม่เสียหลายนะ เพราะอายุของคนเราเพิ่มขึ้นทุกวันเลยแหละ กันไว้ดีกว่าแก้จ้า ไปรู้กันเลยย

-ปรนิบัติผิวให้ดี
หน้าตาของผิวในตอนนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากการปรนนิบัติผิวของคุณนั่นแหละ และปัจจัยทางด้านพฤติกรรมก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ฉะนั้น ถ้าคุณไม่มีปัญหาความเครียด ไม่ออกไปอยู่กลางแดด ไม่สูบบุหรี่ สัญญาณแห่งความร่วงโรยตามพันธุกรรมน่าจะปรากฏขึ้นเมื่อคุณ 45 ปีไปแล้ว

-ลงมืซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ในการดูแลผิวก็เหมือนกัน ฉะนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น ชาเขียว ไลโคปีน โค-เอนไซม์คิว10 รวมทั้งวิตามินอีและซี ก็จะช่วยลดปริมาณความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้

-ใช้ครีมทาตา
สัญญาณความร่วงโรยแห่งวัยมักจะเกิดขึ้นกับผิวรอบดวงตาเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้นอย่าละเลยในการดูแลผิวรอบดวงตา โดยใช้ครีมทาอย่างสม่ำเสมอ

-หยุดบริโภคน้ำตาล
ได้มีการพิสูจน์แล้ว่าน้ำตาลจะเข้าไปยึดโปรตีนในผิวไว้ด้วยกัน ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ฉะนั้นก็ลดการบริโภคน้ำตาลรวมทั้งอาหารที่เป็นแป้งทั้งหลายด้วย เพราะแป้งเมื่อย่อยแล้วก็แปรสภาพเป็นน้ำตาลเช่นกัน

4/25/2552

มาพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งกันเถอะ..

เพิ่งไปซื้อน้ำผึ้งมาลองพอกหน้า ความจริงก็พอทราบว่ามีหลายๆ คนเอาน้ำผึ้งมาพอกหน้ากัน อยากลองทำบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะหาซื้อน้ำผึ้งที่ไหน พอไปเจอเข้าที่ร้านสะดวกซื้อ ที่มีเกือบทุกที่ (เพื่อนๆ หลายคนคงรู้นะ อิอิ) ก็เลยซื้อมาพอกหน้าบ้าง ความจริงก็ทดลองพอกด้วยครีมหลายๆ อย่างมาแล้ว แต่น้ำผึ้งเนี่ย….เป็นผลิตผลจากธรรมชาติ เมื่อนำมาพอกหรือมาร์กหน้าเราจะได้ไม่มีส่วนปนเปื้อนของสารเคมี ไม่ทำให้หน้าบาง และอีกอย่างใช้คือใช้พอกหน้าบ่อยแค่ไหนก็ได้

มาทราบสรรพคุณของน้ำผึ้งกันดีกว่านะ
1. ต้านจุลชีพ (ฆ่าเชื้อโรค) เนื่องจากความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะมีแรงดันออสโมซิส (Osmotic Pressure) ดูดน้ำจากเซลล์เชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย นอกจากนี้สภาพความเป็นกรด และสารบางชนิด สามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้

2. แก้ท้องเดิน จากฤทธิ์ต้านจุลชีพ ประกอบกับสารน้ำตาลซึ่งสามารถใช้แทนน้ำตาล (เป็นส่วนประกอบสำคัญของสารละลายน้ำตาล เกลือแร่ หรือโออาร์เอส ในการทดแทนสารน้ำในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเดิน ) นอกจากนี้น้ำผึ้งยังช่วยเร่งให้ลำไส้ที่อักเสบมีการฟื้นตัวเร็วขึ้น

3. แก้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (เชื้อแคนดิดา) ได้ใกล้เคียงกับยาฆ่าเชื้อราแผนปัจจุบัน

4. แก้โรคกลาก และฮ่องกงฟุต จากฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา

5. แก้ตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ กระจกตาดำอักเสบ

6. รักษาบาดแผล จากฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และสรรพคุณในการลดอักเสบ เร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่น้ำผึ้งจึงใช้สมานบาดแผลชนิดต่างๆ เช่น แผลสด แผบถลอก แผลผ่าตัด ฝี แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเบาหวาน แผลกดทับ (จากการนอนนาน ๆ ) แผลเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น




วิธีพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง
ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆสักครู่แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาสักประมาณ 5 นาทีจนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว โดยการนวดหน้า ที่แก้มควนนวดเพียงเบา ใช้นิ้ว 3 นิ้ว คือนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย บริเวณแก้มควรนวดขึ้นด้านบนเพื่อไม่ให้ผิวเหี่ยวย่น เพราะปกติผิวคนเราจะตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก บริเวณคาง ก็ถูไปถูมา เช่นเดียวกับที่หน้าผาก แต่ขอเตือนให้นวดเบา ๆ นะจ๊ะ มิฉะนั้นหน้าคุณอาจจะเหี่ยวก่อนที่จะสวยก็ได้ แล้วปล่อยทิ้งไว้ นอนพักให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น พักสักครู่แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก เพี่ยงแค่นี้ก็สามารถพอกหน้าด้วยตัวเองได้เพียงง่าย ๆ และไม่ยุ่งยาก ค่ะ

4/16/2552

วิธีดูแลผมสวย ด้วยมะนาว และ เบียร์

มะนาว
นำน้ำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำบริสุทธิ์ครึ่งถ้วย คนน้ำมะนาวและน้ำเข้าด้วยกัน แล้วนวดลงบนหนังศีรษะและเส้นผมด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา


เพื่อช่วยผ่อนคลายและช่วยระบบหมุนเวียนของโลหิตและระบบประสาท พร้อมหมักทิ้งไว้สัก 2 -3 ชั่วโมงจึงล้างออก จะช่วยล้างรังแคเหนียวๆ ที่ติดอยู่บนหนังศีรษะ และช่วยทำให้เส้นผมนุ่ม สลวยเป็นเงางาม


เบียร์
๑. ล้างผมด้วยน้ำสะอาด
๒. ใช้ผ้าเช็ดผมที่เปียกให้หมาด ๆ
๓. ใช้เบียร์ (เบียร์สดหรือเบียร์กระป๋องหรือขวดก็ได้) ชะโลมให้ทั่วศีรษะ
๔. ใช้ผ้าขนหนูพันโพกเอาไว้ (ใช้หมวกอาบน้ำก็ได้)
๕. ทิ้งเอาไว้สัก ๑ ชั่วโมง หรือจะใช้วิธีตามขั้นตอนแรกนำมาผสมกับตัวยาสมุนไพรอื่น ๆ เช่น น้ำมันละหุ่ง หรือ น้ำมันมะกอก หรือไข่แดง จะเพิ่มตัวใดตัวหนึ่งที่สามารถหาได้ง่าย
คุณสมบัติ
เป็นการเพิ่มความหนุ่มและไม่หลุดร่วงง่ายของเส้นผมได้ดีกว่าการหมักด้วยเบียร์เพียงตัวเดียว


ผลที่ได้รับ
- ช่วยเพิ่มน้ำหนักของเส้นผม
- ช่วยไม่ให้ผมแห้งและแตกปลาย
- แก้ผมมัน ช่วยให้หวีง่าย
- เบาศีรษะ รักษารากผมและหนังศีรษะ
- ช่วยขจัดรังแค
- เพื่อช่อยฟื้นฟูเส้นผม ที่ผ่านการดัด ยืด ไดรซ์ หรือถูกน้ำยาและความร้อยบ่อยครั้ง
- ถ้าใช้เบียร์หมักอย่างเดียวในเวลาติดต่อกันนานครั้ง เส้นจะทำปฏิกิริยากับยีสต์ในส่าเหล้า ทำให้สีผมเปลี่ยนคือ ลดความเข้มของสีผมลง อาจเปลี่ยนไปเป็นสีโค้กได้ กรณีที่นำเอาน้ำมันมาช่วยเสริมในการหมักหรือทาผมจะช่วยให้สีผมคงงสภาพ และเมื่อใช้นาน ๆ ผมจะดำขลับ

4/08/2552

ช๊อปอาหารอย่างไรให้ผอม

  • ซื้อผักและผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารในตะกร้า
ผัก ผลไม้ มีใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนาน นอกจากบำรุงหัวใจแล้ว ยังช่วยให้ผอม

  • อย่าซื้ออาหารเดิม ๆ
เพื่อให้การกิน เพื่อสุขภาพไม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ครั้งก่อนซื้อฝรั่ง ครั้งนี้ลองซื้อมะเฟืองหรือทับทิมดูบ้าง

  • ซื้อขนมไซส์มินิ
เช่น คุกกี้หรือขนมปังกรอบกล่องเล็ก แม้การซื้อกล่องไซส์บิ๊กคุ้มค่ากว่าซื้อซองเล็กๆก็จริง แต่ขนมซองเล็กดีต่อสุขภาพกว่าเยอะ มองหาแพ็คเกจขนาด 1 หน่วยบริโภคที่ให้พลังงานเพียง 100-150 แคลอรีก็พอ

  • เลือกอย่างถ้วนถี่
อย่าคว้าเพียงอาหารที่เตะตาหรือราคาสุดคุ้ม เพราะอาหารสุขภาพอาจหลบมุมอยู่ เสียเวลาสองสามวินาทีกวาดตาให้ทั่วก่อนเลือกหยิบตะกร้า

4/06/2552

รวมทริคกินดี วิธีการง่ายๆ

---มื้อเช้า---
- เตรียมอาหารเช้าง่ายๆ มื้อเช้าทำให้พร้อมรับวันใหม่และไม่กินมากในมื้อถัดไป หากเหลือเวลาเพียงนิดก่อนประชุมช่วงเช้า หาซื้อนมถั่วเหลืองรสจืดหรือหวานน้อย นมวัวไขมันต่ำรสจืด หรือเครื่องดื่มธัญพืชไม่ใส่น้ำตาลอย่างน้ำลูกเดือย กินคู่กับผลไม้ที่หนักท้องอย่างแอ๊ปเปิ้ลหรือกล้วย 1 ผล จะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ หรือกล้วยปิ้งก็ได้ตามใจชอบ เท่านี้ก็ได้อาหารเช้าจานด่วนคุณค่าเต็มเปี่ยมไว้กินก่อนหรือระหว่างเดินทาง

- กินวิตามินเสริมร่วมกับมื้ออาหาร หากยุ่งจนไม่ได้กินผักและผลไม้ วิตามินเพียงหนึ่งเม็ดช่วยให้มั่นใจว่าร่างกายไม่ขาดวิตามินที่จำเป็น ง่ายๆ เพียงกินพร้อมอาหารเช้า เพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดี

- เลือกสั่งชา หรือกาแฟที่ไม่ปรุง แล้วเพิ่มรสชาติด้วยตัวคุณเอง โดยเติมนมปราศจากไขมันหรือผงอบเชย รู้ไหมว่า เครื่องดื่มจากร้านอุดมไปด้วยไขมันและน้ำตาล ให้แคลอรีมากโข เป็นสาเหตุให้ปริมาณแคลอรีแต่ละวันมาจากเครื่องดื่มถึง 21 เปอร์เซ็นต์ เช่นมอคค่าแก้วเล็กให้พลังงานถึง 400 แคลอรี แทนที่จะเลือกเครื่องดื่มหวานๆสารอาหารต่ำ เปลี่ยนมากินอาหารว่างมีประโยชน์อย่างแซนวิชโฮลวีทดีกว่า เพราะเมื่อเทียบระหว่างอาหารกับเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน 300 แคลอรีพอๆกัน กินอาหารอิ่มทนกว่าเยอะ ฉะนั้นเมื่อคุณมีสิทธิ์เลือก กินอาหารแทนการดื่มเครื่องดื่มจะดีกว่า

ที่ทำงาน
- มีผลไม้ติดโต๊ะ ควรให้ร่างกายได้รับอาหารทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อมีพลังงานเพียงพอตลอดวัน โดยเฉพาะโปรตีน อย่าปล่อยให้หิว เพราะประสิทธิภาพการทำงานของสมองจะแย่ลง จนคิดอะไรไม่ออก เมื่อต้องการพลังงานสำรอง แนะนำให้กินแอ๊ปเปิ้ลจิ้มเนยถั่วสักสองชิ้น

- จิบน้ำทุกๆ 2-3 นาที หากร่างกายขาดน้ำเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ คุณจะรู้สึกระหายน้ำ ความจำสั้นลงแถมยังอาจทำให้อ่อนเพลีย จนพานให้คิดไปเองว่าเป็นเพราะหิว ลงเอยด้วยการกิน กิน กิน ทั้งที่ร่างกายต้องการเพียงน้ำสักแก้วเท่านั้น

--- มื้อเที่ยง---
- กินเมื่อหิว อย่ากินเพียงเพราะเที่ยงแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าบางวันคุณหิวตอนสิบเอ็ดโมงหรือไม่ก็บ่าย การใส่ใจกับความหิวที่แท้จริงของตนเองเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับของการลดหรือควบคุมน้ำหนัก หากมีนัดคุยงานระหว่างมื้อเที่ยง ควรรองท้องด้วยของว่างที่ให้พลังงาน 100-150 แคลอรี เช่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล ส้ม 1 ผล มะละกอ 8 ชิ้น พอคำ เพื่อให้มีพลังติดต่องานราบรื่น ขณะประชุมแม้ใครๆ สั่งสลัดหรือซุปสักถ้วยก็พอ แล้วค่อยกินมื้อเที่ยงจริงๆ ตอนหิว

- อย่ากินที่โต๊ะทำงาน เวลาอาหารควรเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายจึงควรนั่งกินที่โต๊ะอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คนที่กินไปด้วยทำอย่างอื่นไปด้วยมีแนวโน้มกินมากกว่าคนตั้งใจกิน

- กินสลัดหรือซุปก่อนจานหลัก อาหารมื้อหลักตามร้านบางมื้อให้พลังงาน 1,000-2,000 แคลอรี ถ้ากินผักผลไม้รองท้องไว้ก่อน คุณจะกินจานหลักได้น้อยลง นี่เป็นอีกเคล็ดลับพิชิตหุ่นเพรียว

- กินข้าวขัดขาวเพียงมื้อละ 2 ส่วน ถ้าไม่อยากง่วงจนทำงานไม่ไหว อย่ากินคาร์โบไฮเดรตเกินมื้อละ 2 หน่วยบริโภค (คาร์โบไฮเดรต 1 หน่วยบริโภค = ข้าวขาว 1 ทัพพี /เส้นก๋วยเตี๋ยว 1 ทัพพี /ขนมปังแผ่น 1 แผ่น) เพราะคาร์โบไฮเดรตกระตุ้นการหลั่งสารเซโรโทนินทำให้เซื่องซึม

--- ช่วงบ่าย---
หากรู้สึกง่วงซึม หมดเรี่ยวแรง
- ดื่มชาเขียว
แม้กาแฟกระป๋องหรือน้ำอัดลมเป็นทางเลือกที่สะดวก แต่นั่นยิ่งทำให้คุณหมดแรงมากขึ้น ชาเขียวร้อนๆ (ไม่เติมนมและน้ำตาล)สักถ้วยดีกว่า ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า แถมมีกรดแอมิโนทีอานีน (Amino theanine) ลดผลกระทบจากความเครียดที่ทำร้ายสมอง

- เลือกของว่างมีประโยชน์
ควรมีของว่างติดลิ้นชักไว้ เช่น ดาร์กช็อกโกแลตที่ช่วยบำรุงหัวใจ หรือถั่วชนิดต่างๆ ดีกว่าขนมกรุบกรอบ ลูกกวาด หรือขนมหวานไม่มีประโยชน์ ถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ อุดมไปด้วยโปรตีน ให้พลังงาน 120 แคลอรี ไขมันเพียง 9 กรัม

--- มื้อเย็น---
- ยึดหลัก 2-1-1 ผัก 2 ส่วน แป้ง1 ส่วน เนื้อไม่ติดมัน 1 ส่วน การใส่ผักในจานเป็นอันดับแรกทำให้เหลือพื้นที่สำหรับอาหารแคลอรีสูงน้อยลง แบ่งสัดส่วนอาหารในจานเป็นผัก 2 ส่วน แป้ง 1 ส่วน และเนื้อไม่ติดมัน 1 ส่วน หลักง่ายๆในการรักษาน้ำหนักตัวโดยไม่ต้องชั่งตวงวัดให้วุ่นวาย

- กินทั้งเปลือก สารอาหาร สายรแอนติออกซิแดนต์ และใยอาหารล้วนรวมอยู่ที่เปลือก เมื่อจะกินผักผลไม้เปลือกบางอย่างแตงกวา มันฝรั่ง แอ๊ปเปิ้ล สาลี่ ฯลฯ แค่ล้างให้สะอาดแล้วกินทั้งเปลือก

- ปรุงอาหารด้วยธัญพืช กินธัญพืชไม่ขัดขาว เช่นข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เส้นหมี่ข้าวกล้องอย่างน้อย 3 หน่วยบริโภคต่อวัน ไม่เพียงอุดมด้วยใยอาหาร แต่ยังมีวิตามินบีช่วยกระบวนการย่อย

- ใส่ผักในจานหลัก แทนที่จะกินผักสลัดแยกต่างหากใส่ลงในจานหลักกินง่ายกว่าเยอะ แค่ลองใส่บรอกโคลีหรือชิ้นแครอทในแกงหรือผัดต่างๆ หรือใส่มะเขือยาวในลาซานญ่า

- เข้าครัวบ้าง คุณอาจเหนื่อยเกินจะเข้าครัว และฝากท้องไว้กับร้านอาหารจานด่วนเป็นประจำ แต่นั่นยิ่งทำให้เผลอกินไขมันเยอะ ลองหัดทำอาหารเมนูง่ายๆ กินเอง เช่น ยำทูน่า สลัดผลไม้ ฯลฯ

- กินของหวานได้ ถ้าต้องการ การเข้มงวดเกินไปอาจทำให้ตบะแตกจนกินมากอย่างควบคุมไม่ได้ อยากกินช็อกโกแลต กินสักชิ้นสองชิ้นให้หายอยาก แล้วออกกำลังกายมากขึ้น แทนที่จะห้ามตนเองให้ทรมาน

4/05/2552

มามะ...มารู้จักกับ Eyes Liner กัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าเดี๋ยวนี้นั้น หนึ่งในขั้นตอนการแต่งหน้าของสาว ๆ ที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ การเขียน Eyes Liner เพื่อให้ดวงตาดูคมเข้มมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จัก Eyes Liner แบบต่าง ๆ กัน

1. Eyes Liner แบบดินสอ
ซึ่งเป็นแบบที่ใช้กันมานานตั้งแต่รุ่นคุณแม่ยังสาวเลยทีเดียว ทั้งนี้ Eyes Liner แบบนี้นั้นจะต้องมีเนื้อนุ่ม ไม่เหนียวเลอะเทอะและที่สำคัญต้องไม่จำเป็นต้องออกแรงเยอะสีก็ติดทนแล้ว




2.Eyes Liner แบบเหลว
ส่วนใหญ่จะมีทั้งแบบที่เป็นปากกาส่วนตรงปลายจะเป็นพู่กัน ซึ่งการใช้ Eyes Liner แบบนี้ จำเป็นต้องฝึกใช้ให้คล่องพอสมควร เนื่องจากอาจจะเขียนยากสำหรับมือใหม่หัดเขียนไปสักหน่อย แถมยังเลอะง่ายอีกด้วย สำหรับการเลือก Eyes Liner แบบนี้นั้นให้เลือกแบบที่เนื้อ Eyes Liner มีความเข้มข้นพอดี ๆ ไม่เหลวจนเกินไป และเมื่อเขียนแล้วก็ไม่ควรจะแห้งอย่างรวดเร็วจนเกินไป จนเราต้องมานั่งเขียนทับสอง - สามรอบ

3. Eyes Liner แบบเนื้อครีม
ส่วนใหญ่จะแยกตัวเนื้อครีมในขวดส่วนหนึ่ง และจะมีพู่กันปลายแบนมาให้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่ง Eyes Liner แบบนี้นั้นจะมีลักษณะเด่นตรงที่ ให้เส้นที่คมชัด และติดอยู่ได้นาน เพราะฉะนั้นสาว ๆ มือใหม่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่นะจ๊ะ





4/01/2552

ทดลองใช้สกินฟู้ด SkinFood

วันนี้ไปเดินชะแว้บๆๆ แถว ธนาคารฮ่องกง (สาธร) ก็เลยได้ของใช้ติดไม้ติดมือมาจ้า เป็นของ Skin Food เป็นแค่ของทดลอง คือซื้อมาทดลองใช้ก่อน ถ้าดีก็จะได้ไปซื้อแบบขวดใหญ่มาใช้

ก่อนที่จะบอกว่ามีอะไรข้าง ขอแนะนำให้รู้จักกับ Skin Food ก่อนกันดีกว่า หรือถ้าหากใครๆ ที่ทราบหรือพอทราบอยู่แล้วก็บอกเพิ่มเติมได้นะค่ะว่าใช้แล้วเป็นยังไง

Skinfood เป็นเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศเกาหลี โดยนำเอาส่วนผสมของผลไม้ และของกินมาผสมผสานกันออกมา บอร์กโดว์ไวน์ ทำจากองุ่นชั้นดีจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ซึ่งชุ่มฉ่ำไปด้วยแสงแดด กาแฟแสนหอมหวานในยามเช้าที่ถูกปากคุณช็อกโกแลตขาวที่ละลายอย่างนุ่มละมุนในปาก และโยเกิร์ตที่ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาน และความเปรี้ยวของผลไม้ เพียงแค่คิดถึงส่วนผสมเหล่านี้ ก็ทำให้คุณอยากลิ้มลองแล้วใช่มั้ย เครื่องสำอางค์ที่ทำจากอาหารชั้นเลิศ ได้เสนอผิวสวยพร้อมใช้ในยุคปัจจุบันเป็นยุคของผิวที่ต้องการมีสุขภาพที่ดี สามารถทำได้โดยการเลือกเครื่องสำอางค์ที่ตรงกับสภาพผิวของคุณลองเข้าไปดูรายละเอียดของสกินฟูดที่เว็บนี้นะจ๊ะ http://www.skinfoodthailand.com/

ที่ได้มาก็มีด้วยกัน 5 อย่างเลย เริ่มจากหัวลงไปหน้าเลยจ้า
1. Hop Beer Hair Wash : แชมพูเบียร์


:จากการทดลองใช้แล้ว
ยาสระผมมีกลิ่นหอม แต่รู้สึกว่าจะหอมจนฉุนไปเลยนะค่ะเนี่ย แต่พอสระผมแล้วเนื้อครีมใสที่ออกน้ำตาลๆ และเมื่อสระผมแล้วรู้สึกเย็นที่หนังศรีษระ ใช้แล้วผมรู้สึกพริ้วๆ และนุ่มๆ แต่ไม่ค่อยชอบกลิ่นเท่าไหร่จ้า..


2. Black Raspberry Eye Cream : อายครีม

:จากการทดลองใช้แล้ว
เนื้อครีมหอม กลิ่นออกคล้ายๆ แตงกวาเลย เนื้อครีมเข้มข้น พอทาแล้วไม่เหนียวเหนอะ หนะ ทำให้ตาชุ่มชื่นได้ซักพัก แต่จากการทดลองใช้มา 3 วัน ใต้ตามันก็ไม่ได้หายคล้ำเลย... หรือว่าต้องใช้นานกว่านี้นะเนี่ย แต่ใช้แล้วรู้สึกว่าปลอดภัย เพราะว่าเป็นผลไม้ รู้สึกไม่ระคายเคืองผิวเลยจ้า..


3. Pear Sake Pore Serum : ซีรั่มอาหารผิว สำหรับใบหน้า

:จากการทดลองใช้แล้ว
ขอบอกว่าของของเขาดีจริงๆ นะค่ะ อันนี้ชอบมากๆ ขอบอก เป็นเซรั่มที่มีกลิ่นหอม พอทาที่ใบหน้าบุ๊บเหมือนเนื้อครีมมันซึมซับเข้าไปในผิวเลยทีเดียวขอบอกว่าผ่าน และคงจะไปซื้อเอาขวดใหญ่มาใช้ หน้ารู้สึกใสๆ วาวๆๆ และเนียนนุ่ม ที่สำคัญไม่เหนียวเหนอะหนะเลย ช๊อบชอบ...



4. Black Sugar Mask Wash off :มาร์กหน้า

:จากการทดลองใช้แล้ว
เป็นมาร์กน้ำตาลสีดำ ผสมกับผลไม้และแร่ธาตุต่างๆ เป็นเม็ดๆ น้ำตาล ตอนมาร์กก็กลัวว่ามดจะมาไต่ที่หน้า มาร์กไว้หลังล้างหน้าเสร็จ รู้สึกว่าหน้านุ่มๆ หลังจากที่มาร์กเสร็จ รู้สึกสดชื่นๆ ที่ใบหน้า


5. White Grape Fresh Base& Foundation : เบสและรองพื้น


:จากการทดลองใช้แล้ว
เบสสีเขียวขอบอกว่ากลิ่นหอมมาก พอทาแล้วแค่ทาแป้งหน้าใสบริ๊งๆเลย เพื่อนๆ ยังชมว่าไปทำอะไรมาหน้าใสกิ๊ก ส่วนรองพื้นไม่หนาเหนอะหนะมาก พอทาแล้วก็ทาแป้ง ไม่ต้องทาแป้งพับ ติดทนนาน ที่สำคัญไม่แพ้ ขอบอกว่าเบสผ่านนนนนนนนนนนนนนน